เห็ดกับโรคมะเร็ง

 ขอนำมาเผยแพร่เป็นความรู้

 ที่มา http://anonbiotec.gratis-foros.com/t1069-topic

เอกสารแจกย่อย เรื่องเห้ดกับมะเร็ง ที่จะใช้แจกในงานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติวันที่ 5-9 กันยายน 2555 โดย ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล

มหัศจรรย์ “เห็ดกับโรคมะเร็ง”
ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล
เชี่ยวชาญอาวุโส(เห็ด)
องค์การสหประชาชาติ ปี พ.ศ. 2524-2548
www.anonbiotec.com e mail : anonajv@yahoo.com
Tel: 02-9083308, 0860830202
****************
ร่าง กายของมนุษย์ ประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีขนาดเล็กมาก มีจำนวนมากถึง 60-90 พันล้านล้านเซลล์ โดยเมื่อมีการเจริญพันธุ์มาถึงระดับหนึ่ง คือ ประมาณ 18-20 ปี การพัฒนาส่วนต่างๆของร่างกายส่วนใหญ่ก็จะคงที่ ด้วยจำนวนเซลล์ที่มีอยู่เป็นส่วนประกอบของร่างกายนั้น จะมีอายุแตกต่างกันไป เซลล์บางชนิด เช่น เซลล์ที่อยู่ตามระบบทางเดินอาหารในลำไส้ อาจจะมีอายุเพียงไม่กี่วัน เซลล์ที่อยู่ในตับอ่อน จะมีอายุหลายสัปดาห์หรือเป็นเดือน เซลล์ที่อยู่ในระบบประสาทหรือสมองจะมีอายุนานเป็นปี เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในแต่ละเซลล์จะมีกลไกชีวิตที่ถูกกำหนดอายุขัยอย่างเป็นระบบ เมื่อถึงเวลาก็จะต้องตายด้วยการย่อยสลายตัวเองอย่างรวดเร็วหรือที่เรียกว่า อะพอพโทซีส(Apoptosis) เศษซากของเซลล์ก็จะถูกเซลล์รอบข้างช่วยดูดซึมเอาอาหารไปใช้ การตายของเซลดังกล่าวเป็นการตายตามอายุขัยที่ถูกกำหนดไว้แล้ว และจะมีการสร้างเซลใหม่ขึ้นมาทดแทน ทำให้เกิดขบวนการที่เรียกว่า ภาวะธำรงดุล (homeostasis) ที่จำเป็นในสิ่งมีชีวิตเพื่อรักษาภาวะภายในร่างกายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
ภาวะ ธำรงดุลของจำนวนเซลล์ในร่างกาย เกิดขึ้นเมื่ออัตราการแบ่งเซลล์แบบไมโทซีสในเนื้อเยื่อสมดุลกับการตายของ เซลล์ หากภาวะสมดุลดังกล่าวถูกรบกวน จะทำให้เกิดความผิดปกติซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ 2 แบบ ได้แก่
• เซลล์แบ่งตัวเร็วกว่าที่เซลล์ตาย จะทำให้เกิดการเจริญไปเป็นเนื้องอก
• เซลล์แบ่งตัวช้ากว่าที่เซลล์ตาย จะทำให้เกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการสูญเสียเซลล์
ใน สิ่งมีชีวิตหลายเซลล์ จะต้องมีกระบวนการอันซับซ้อนดังกล่าว เพื่อควบคุมภาวะธำรงดุลภายในร่างกายอย่างเข้มงวด เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปได้ ซึ่งต้องอาศัยการส่งสัญญานของเซลล์ (cell signaling) หลายชนิด การเสียหน้าที่ของการควบคุมในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งจะทำให้เกิดความผิดปกติ หรือเกิดโรคได้ เช่น การสูญเสียการควบคุมของวิถีการส่งสัญญาณ(signaling pathway) อาจทำให้เกิดสัญญาณที่มากเกินไปและก่อให้เกิดมะเร็ง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเช่น วิถีซึ่งส่งสัญญาณต้านอะพอพโทซิสของเซลล์พบว่า สามารถกระตุ้นให้เกิดมะเร็งชนิดต่อมของตับอ่อน (pancreatic adenocarcinoma)
มี ปัจจัยเสี่ยงมากมายหลายชนิด ที่จะมีผลต่อขบวนการภาวะธำรงดุล อันเป็นผลทำให้มนุษย์มีแนวโน้ม เป็นโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน่าวิตก ปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวอันได้แก่ ควันบุหรี่ อากาศเป็นพิษ ดื่มสุรามากเกินไป รังสี การรับประทานอาหารที่มีสารก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น สารกันบูด สารปรุงแต่งบางชนิด สารพิษที่ได้จากสารเคมีหรือจากเชื้อราปนเปื้อน ได้แก่ อัลฟาท๊อกซิน เป็นต้น จึงได้มีการศึกษาค้นคว้า หาวิธีป้องกันและรักษาโรคมะเร็งกันอย่างมาก แต่ก็ยังไม่สามารถเอาชนะโรคดังกล่าวได้ ด้วยกรรมวิธีใดวิธีหนึ่งอย่างชัดเจน แม้ว่าจะมีอุปกรณ์การตรวจวิเคราะห์ค้นหา หรือเทคโนโลยีในการรักษาจะทันสมัยประการใดทั้งการผ่าตัด การฉายแสง การใช้ยาหรือสารเคมีจะแพงระดับไหน ผลที่ดีที่สุดก็คือ แค่สามารถประคับประคองชีวิตของผู้ป่วยไปได้อีกระยะหนึ่งเท่านั้น จากเหตุผลดังกล่าว การที่จะป้องกัน หรือรักษาให้ร่างกายของมนุษย์มีขบวนการธำรงดุลเป็นไปอย่างปกตินั้น จึงเป็นพื้นฐานที่สำคัญที่ไม่ก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บ หรือแม้กระทั่งเป็นโรคอยู่แล้ว ก็จะไม่ทำให้ลุกลามไปอย่างรวดเร็ว และพบว่า การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกายให้อยู่ในภาวะปกติหรือเตรียมความ พร้อม น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาดังกล่าว
เห็ดแทบทุกชนิด ที่สามารถรับประทานได้ แม้ว่ามันจะเป็นพืชชั้นต่ำ เนื่องจากตัวของเห็ดเอง ไม่สามารถสังเคราะห์อาหารหรือสร้างอาหารบางชนิด เช่น พลังงานด้วยตัวของมันเองได้ ต่างไปจากพืชชั้นสูง ที่มีสีเขียวของคลอโรฟิลจับพลังงานจากแสงแดดเพื่อนำเอาน้ำและก๊าซคาร์บอน ไดออกไซด์มาปรุงเป็นน้ำตาลชนิดต่างเป็นพลังงานให้แก่พืชได้ ดังนั้น เห็ดจะต้องอาศัยพลังงานจากเศษซากพืชที่ตายแล้วเท่านั้น ในขบวนการดึงพลังงานจากพืชมาใช้เป็นอาหารของเห็ดนั้น มันจะมีการสะสมน้ำตาลบางอย่าง จับตัวกันเป็นโมเลกุลยาว ที่เรียกว่า โพลีแซคคาไรด์(Polysaccharide) โดยมีโซ่หลักที่จับกันเป็นแบบ 1-3 ส่วนโซ่รองจับกันแบบ 1-6 ที่เรียกว่า 1-3,1-6 beta glucans(เบต้า กลูแคน) ซึ่งสารเบต้ากลูแคนในเห็ด มีสรรพคุณในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ต่อต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกายเป็นอย่างดี เป็นผลทำให้ขบวนการภาวะธำรงดุลของร่างกายเป็นไปตามปกติ ส่งรหัสที่เป็นผลให้เกิดการตายของเซลมะเร็งขึ้นเองได้ ช่วยทำให้ผู้ป่วยมะเร็งมีชีวิตยืนยาวต่อไปได้อีก นอกจากนี้ สารเบต้ากลูแคนในเห็ด ยังไปส่งเสริมให้ร่างกายไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนให้แก่เซลผิวหนัง ทำให้บริเวณผิวหนังมีความยืดหยุ่น มีการสร้างเซลใหม่เกิดขึ้น มีความเต่งตึงและลดการเหี่ยวหย่นของผิวหนังได้ อย่างไรก็ตาม ในเห็ดแต่ละชนิดมีสารเบต้ากลูแคนที่แตกต่างกัน จึงมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกัน และต่อต้านอนุมูลอิสระที่แตกต่างกันไปด้วย ยกตัวอย่าง เช่น เห็ดขอนช้อน(Coriolus versicolor) มีสารเบต้ากลูแคนที่เรียกว่า เครสทีน(Krestin) มีน้ำหนักโมเลกุล 100,000 ดาล์ตัน ผลิตโดยบริษัท ซันเคียว ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 เป็นยารักษาโรคมะเร็งระบบทางเดินอาหาร ปอด และเต้านม เห็ดแครง(Schizophyllum commune) มีสารเบต้ากลูแคนที่เรียกว่า สคิโสไฟแลน(Schizophyllan) มีน้ำหนักโมเลกุล 450,000 ดาล์ตัน ผลิตโดยบริษัท กาเก็น ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 เป็นยารักษาโรคปากมดลูก เป็นต้น นอกจากเห็ดจะมีเบต้ากลูแคนแล้ว ยังพบว่า มีเห็ดอีกหลายชนิด ยังมีสารบางชนิด เช่น ไตรเตอร์ปินหรือสารขม ในเห็ดหลินจือ เห็ดกระถินพิมาน ที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี สารสเตียรอลธรรมชาติกระดุมบราซิล ลดอาการบวม การเจ็บปวดและผลข้างเคียงของเคมีบำบัด สารคอร์ดิซิปิน ในเห็ดถั่งเช่า และเห็ดถั่งเช่าสีทอง ที่ช่วยกระตุ้นให้ปอดนำเอาออกซิเจนไปใช้เพิ่มได้สูงอีก 30-40% เป็นต้น ทำให้ปัจจุบัน ไม่เพียงแต่จำนำเห็ดมาปรุงเป็นอาหารทั่วไปแล้ว ยังได้มีการใช้เห็ดนำมาเป็นส่วนผสมที่สำคัญในด้านการผลิตยารักษาโรคอีกด้วย จึงมีการจำกัดความของเห็ดว่า เห็ดเป็นทั้งอาหารและยาหรือที่เรียกว่า Functional food อย่างไรก็ตาม สารอาหารที่มีสรรพคุณทางยาในเห็ดนั้น มักจะอยู่ในรูปหรือมีขนาดใหญ่เกินกว่าที่ร่างกายจะนำเอาไปใช้ได้โดยตรง จำเป็นจะต้องทำให้ขนาดหรืออยู่ในรูปที่ร่างกายเอาไปใช้ได้เสียก่อน มีผู้ที่นำเอาเห็ดไปใช้เป็นยาส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิด ด้วยการนำเอาเห็ดมาผ่านความร้อนด้วยการต้ม หรืออบแห้งแล้วบดเป็นผง ความร้อนจะทำให้สรรพคุณทางยาส่วนใหญ่สูญเสียหรือหมดไป หากนำเอาไปดื่มหรือทานก็จะไม่ก่อให้เกิดผลดีอะไรต่อร่างกาย ดังนั้น ทางที่ดี ควรจะนำเอาเห็ด โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ดอกเห็ดเท่านั้น อาจจะใช้เส้นใย หรือทั้งดอกทั้งเส้นใยของเห็ดก็ได้ นำมาผ่านขบวนการหมักด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์และปลอดภัย ช่วยทำการหมัก ให้สารอาหารที่มีสรรพคุณทางยา ให้อยู่ในรูปที่ร่างกายนำเอาไปใช้ได้ นอกจากนี้ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์บางชนิด ที่ใช้ในการหมัก ยังสามารถช่วยสร้างสารที่มีความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระเพิ่มขึ้นได้อีก หลายเท่าตัว

สรุปของการใช้เห็ดเป็นยาเสริมภูมิคุ้มกันนั้นสามารถทำได้ ดังนี้

1. ใช้เห็ดที่มีคุณสมบัติสร้างภูมิคุ้มกันได้สูง เช่น เห็ดกระถินพิมาน เห็ดขอนช้อน เห็ดหลินจือ เห็ดกระดุมบราซิล เห็ดแครง เห็ดถั่งเช่าสีทอง จะใช้ชนิดใดชนิดหนึ่ง หรือนำเห็ดหลายชนิดมาผสมรวมกัน ควรใช้ทั้งในรูปของเส้นใยเห็ด และดอกเห็ดควบคู่กันไป นำมาทำการหมักแบบใช้อากาศ โดยใช้เชื้อยูเอ็ม2555 เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง เพื่อเป็นการสร้างเอ็นไซม์ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับท่านที่มีความบกพร่องทางด้านเอ็นไซม์ ก็คือ ผู้ป่วยเนื่องจากโรคแทบทุกชนิดล้วนแล้วเกิดจากความบกพร่องของร่างกายทั้ง สิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรคมะเร็ง โรคเบาหวานและเกาท์ ควรรับประทานครั้งละ 1 ช้อนชาผสมน้ำหรือน้ำผลไม้ดื่มก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง
2. หากต้องการทั้งยาและเอ็นไซม์สูงสุด ควรปล่อยให้ทำการหมักนานอย่างน้อยที่สุด 15-20 วัน แล้วนำไปทาน 1 ช้อนโต๊ะผสมน้ำหรือน้ำผลไม้ก่อนอาหารครึ่งชั่วโมง เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดัน เบาหวาน เกาท์ เอดส์ เป็นต้น

Pai_Anonworld

ได้รับเมล์คุณขวัญ ถึง ดร.อานนท์ ดังนี้
เรียน ดร.อานนท์

ขวัญ ชื่อจริงชื่อ ณัชชา บุญวรานันท์ ได้เคยเข้าอบรมการเพาะเห็ดถั่งเช่าสีทองเมื่อวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมานี้ และได้รับเห็ดถั่งเช่าสีทองจากอาจารย์ 1 ขวด ตอนนี้กำลังจะเริ่มทำเอ็นไซม์แต่ขวัญมีอาการดังนี้ค่ะ
ตอนนี้ขวัญอายุ 37 ปี สูง 160 ซม. หนัก 53 kg.
เคย ถูกตัดรังไข่ข้างซ้ายออกเพราะมี Chocolate cyst ขนาด 7 ซม. หุ้มอยู่และแตกจึงต้องผ่าตัดฉุกเฉิน (จึงเลือกคุณหมอผ่าตัดไม่ได้) คุณหมอจึงตัดรังไข่ข้างซ้ายออก ในขณะที่ทำการผ่าตัดคุณหมอได้เจอเนื้องอกที่มดลูกขนาด 3 ซม. จำนวน 5 ก้อน แต่คุณหมอไม่ได้ตัดออกเพราะดูไม่ใช่เนื้อร้าย จึงเก็บไว้ (ให้ดูเล่นหรือเปล่าไม่ทราบ) พร้อมกับให้ฉีดยาคุมและรอดูอาการต่อไป ระยะเวลาที่ผ่าตัดจนถึงตอนนี้ครบ 3 เดือนพอดีค่ะ
แต่ตอนนี้ขวัญมีอาการ ท้องอืด ท้องผูก ปวดท้องหน่วงๆ เป็นช่วงๆ ปัสสวะมีก้อนเลือดออกมาบางครั้งและผมร่วงเยอะผิดปกติ สุขภาพเหนื่อยง่าย อ่อนเพลียอยากนอนอย่างเดียว ดูจากภายนอกน้ำหนักขึ้นแต่ดูโทรมและดูมีอายุมากขึ้น ไปปรึกษาคุณหมอบอกว่าเรื่องเล็กไม่ต้องทำอะไร รอให้ก้อนเนื้อโตขึ้นก่อนค่อยว่ากันอีกที ไปปรึกษาคุณหมอท่านอื่นจะให้ตัดมดลูกออกทั้งหมดเพื่อรักษารังไข่ไว้ไม่ให้ กลับมาเป็นช็อคฯซีสอีก แต่คุณหมอบางท่านกลับบอกว่าถึงตัดมดลูกออกก็ไม่ได้ป้องกันไม่ให้เกิด Chocolate cyst ที่รังไข่ได้เพราะ choc cyst เกิดจากการผลิตฮอร์โมนในรังไข่ รวมถึงการฉีดยาคุมคุณหมอที่ผ่าตัดให้บอกว่าถ้าฉีดยาคุมจะทำให้เนื้องอกฝ่อลง แต่คุณหมอท่านอื่นส่วนใหญ่ตอบว่าไม่สามารถทำให้ฝ่อลงได้ จะขอเรียนถามอาจารย์ว่า

1. อาจารย์จะมียาเห็ดหรือยาสมุนไพรอะไรที่จะรักษาเนื้องอกและปรับสมดุลให้กับร่างกายไหมคะ
2. น้ำเอนไซม์จากเห็ดถั่งเช่าสีทองจะช่วยได้ไหมคะ
ถ้าช่วยได้จะช่วยอะไรได้บ้างคะ
3. ที่ดูมีอายุมากขึ้นสาเหตุมาจากฮอร์โมนที่รังไข่เหลืออยู่ข้างเดียวหรือเปล่า คะ จะมียาสมุนไพรหรือยาจากเห็ดปรับหรือสร้างฮอร์โมนได้บ้างไหมคะ
4. มียาตัวไหนจะทำให้เนื้องอกฝ่อลงได้ไหมคะ
5. การฉีดยาคุมจะทำให้เนื้องอกฝ่อได้จริงเหรอคะ

ตอน นี้คุณหมอแนะนำให้ฉีดขวัญต้องฉีดยาคุมทุกเดือนเพื่อป้องกันการเกิด chocolate cyst ที่รังไข่อีกข้างซึ่งเหลืออยู่แค่ข้างเดียวเท่านั้นค่ะ

รบกวนขอคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยนะคะ

ขอบคุณอาจารย์ล่วงหน้านะคะ

ณัชชา บุญวรานันท์ (ขวัญ)
0866266488
เรียนคุณขวัญ
ต้อง ขอโทษที่ตอบช้าไปหน่อย เพราะสมองทุกส่วนเอาไปทุ่มกับการเขียนบทความที่จะเอาไปใช้แจกและบรรยายใน งานมหกรรมสมุนไพรแห่งชาติ ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 5-9 กันยายน ที่เมืองทอง และก็เพิ่งเสร็จไม่กี่วินาทีที่ผ่านมา แต่ด้วยความที่เข้าใจถึงความกังวลของคุณ ทั้งที่ขณะนี้ ขบวนการทำหัวเชื้อกำลังรอผมเข้าไปทำอยู่ ก็จะขอรีบตอบของคุณเสียก่อนครับ แน่นอนครับ ตอนนี้ สภาพจิตใจของคุณก็คงกังวลสารพัดอย่างเกี่ยวกับโรคนี้ โดยเฉพาะ ดูเหมือนว่า พอเจอปัญหา และมีการฉีดยาคุมเอาไว้นั้น ดูเหมือนทำให้ร่างกายแก่ตัวไป เอาเป็นว่า ผมขอฝากไฟล์ที่เพิ่งเขียนจบไปหมาดๆมาให้ดูครับ ถึงความผิดปกติของร่างกายของมนุษย์ ซึ่ง ร่างกายของคุณ ก็ตกอยู่ในสภาพนั้น แต่ก็อย่าสิ้นหวังครับ เพราะทุกหนทาง ทุกปัญหา ย่อมมีทางแก้ และเห้ด ก็เป็นคำตอบหนึ่ง ที่คุณควรจะให้ความสนตใจแก่มัน โดยไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเห้ดที่มีราคาแพง เพาะยากๆครับ เห็ดที่มีราคาถูกๆ เช่น เห้ดขอนขาว เห็ดลม แม้กระทั่ง เห็ดนางรม เห็ดนางฟ้า ก็มีสรรพคุณ ไม่แตกต่างไปจากเห็ดที่มีราคาเป็นแสน เป็นล้าน เพียงแต่ว่า มันอาจจะมีสรรพคุณทางยาน้อยกว่าเขาหน่อยเท่านั้นเอง ดังนั้น ผมอยากจะแนะนำให้คุณ เอาเห้ดที่มีอยู่ตามตลาด และเอาเห้ดหลินจือ ยิ่งได้เส้นใยเห็ดหลินจือ แล้วปล่อยให้มันเกิดดอกได้ในขวด แล้วใช้ทั้งหมด(ยกเว้นขวด)ได้ยิ่งดี เอามาหมักครับ หมักแค่ 2-3 วัน ก็เริ่มเอามาทานเป็นเอ็นไซม์ได้แล้ว และปล่อยมันหมักไปเรื่อยๆ ยิ่งนาน ยิ่งได้ทั้งเอ็นไซม์และตัวยา แต่เอ็นไซม์จะลดลง ยาเพิ่มขึ้น แต่ไม่ต้องไปรอแบบป้าเช็ง ที่หมักเป็นปี แตค่ 2-3 เดือนก็นานโขแล้ว ทานไปเถอะครับ ทานผสมน้ำ หรือเครื่องดื่มอะไรก็ได้ แทนทุกครั้งที่ดื่มน้ำ จะทำให้ระบบต่างๆในร่างกายดีขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการผมร่วง เพราะคุณได้รับการฉีดยาคุม ก็คือ คีโมนั่นเอง ผมต้องร่วงแน่นอน เห็ดที่คุณหมักนั้น ช่วยแก้ปัญหาได้ และแน่นอนครับ ปัญหาเรื่อง ช๊อค ซีส ก็น่าจะช่วยได้ครับ เรามาสู้กับมันดีกว่า อย่ายอมแพ้ครับ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณ ให้คุณสู้กับโรคนี้ให้ได้ เอาเป็นว่า ลองทำอย่างที่ว่าไปก่อน แล้วผมเป็นเช่นไร ให้รีบแจ้งมา ไม่ต้องเกรงใจ มีอะไรบอกมาได้เลย บางครั้ง งานผมอาจจะมากหน่อย และบางครั้งงานที่จะต้องเขียนเรื่องวิชาการ ต้องข้อมูลแม่นยำ มั่วไม่ได้ ช่วงนั้น ผมอาจจะตอบเมล์ช้าหน่อย ก็คงไม่ว่ากัน แต่ตอบแน่ๆครับ

เรียน อ.ดร.อานนท์ คุณไผ่ คุณ sanga

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณอ. ดร. อานนท์สำหรับคำแนะนำและสละเวลาอันมีค่ามาตอบคำถามให้ขวัญนะคะ

หลัง จากได้รับเมล์ตอบกลับจากอาจารย์ ขวัญได้ดื่มน้ำเอ็นไซม์เห็ดถั่งเช่าสีทองที่หมักมาได้ 1 อาทิตย์ทันที ตอนนี้ดื่มมา 5 วันแล้ว อาการผมร่วงหายไป หน้าใสขึ้น ขับถ่ายเป็นปกติ ร่างกายสดชื่นขึ้นมากเลยค่ะ แต่ยังมีอาการท้องอืดอยู่บ้าง ยังไงจะดื่มเอ็นไซม์ต่อไป นอกจากดื่มเอ็นไซม์แล้ว ตอนนี้อาหารที่รับประทานจะพยายามหลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์จะเน้นทานพวกผัก เห็ดนางฟ้า นางรม เห็ดทุกชนิดเท่าที่จะหามาทานได้ อีก 3 เดือนขวัญต้องไปตรวจดูขนาดเนื้องอก จะส่งข่าวให้อาจารย์ทราบอีกทีนะคะ แอบลุ้นอยู่ว่าก้อนเนื้อจะฝ่อลง อิอิ Smile

ขอบคุณ คุณ Sanga นะคะสำหรับกำลังใจและคำแนะนำ ขวัญสู้ไม่ถอยอยู่แล้ว ยิ่งมีอาจารย์คอยให้คำแนะนำแบบนี้เนื้องอกต่างหากที่ต้องแพ้ Surprised lol!

ทานน้ำเอ็นไซม์สดเข้าไป อาการคุณขวัญดีขึ้น ผมไม่ร่วง

ตั้งหัวข้อ  Pai_Anonworld on Wed Aug 01, 2012 6:12 am
เข้า ใจว่า น้ำเอ็นไซม์ที่ทานเข้าไปนั้น คงมีแต่เอ็นไซม์เท่านั้นล่ะ แต่ท้องยังผูกอยู่นั้น น่าจะหาทานมะขามเปรี้ยว สัปรดและมะละกอสุกเข้าไปด้วย ส่วนที่จะทำให้ช็อค ซีสคุณฝ่อลงหรือไม่นั้น จะต้องทานเห็ดแล้วล่ะ ด้วยการใช้เห็ดเป็นยา เช่น เห็ดกระถินพิมาน เห็ดหลินจือ เห็ดกระดุมบราซิลพวกนี้ ตัวใดตัวหนึ่ง หรือรวมกันได้ยิ่งดี แล้วทำการหมักเอ็นไซม์นั้นเอง เพียงแต่ต้องใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ ไม่จำเป็นต้องหมักเป็นปี การหมักนานหน่อย ก็เพระต้องการให้จุลินทรีย์สร้างกรดขึ้นมาละลายสารอาหารและยาออกมาให้มากที่ สุดครับ
ขอให้โชคดี หายวันหายคืน แล้วกลับมาดูอ่อนกว่าวัยดังเดิมครับ

 

ความคิดเห็น